เรื่องนิกาย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
หลวงพ่อ : เราจะเกริ่นๆ ธรรมะให้ฟังก่อน ธรรมะ ว่าธรรมะคืออะไร คำถามนี้ว่า
ถาม : ธรรมะคืออะไร ธรรมะมีประโยชน์กับชีวิตประจำวันอย่างใด
ตอบ : ธรรมะคือสัจธรรมนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ถ้าเป็นกษัตริย์ ถ้าทางโลกคำว่า “จะเป็นกษัตริย์” สมบูรณ์ไหม ถ้าเป็นกษัตริย์ ชีวิตของเรา เราเป็นกษัตริย์ เป็นผู้ปกครอง ทุกอย่างเราสมบูรณ์มากเลย แต่ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้สะเทือนหัวใจ สะเทือนใจมากนะ สะเทือนใจมาก เพราะเวลาไปเที่ยวสวนไง มันเพียบพร้อมไปหมด แต่เวลาไปเที่ยวสวน เทวดามาทำเป็นตัวอย่างไง ให้เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย
ถ้าเราคิดถึงวิทยาศาสตร์นะ จนเจ้าชายสิทธัตถะมีสามเณรราหุล แล้วคนโตขนาดนี้ เราไม่รู้ได้อย่างไรว่าคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย คือไม่เห็นคนแก่ไง
พระเจ้าสุทโธทนะท่านสะเทือนใจมาก เพราะว่าเวลาเจ้าชายสิทธัตถะประสูติออกมา พวกพราหมณ์พยากรณ์ไง บอกว่าถ้าได้ออกบวชจะเป็นศาสดา แต่ถ้าได้อยู่ในทางโลกจะเป็นจักรพรรดิ จักรพรรดิคือการรวบรวมแว่นแคว้นในสมัยพุทธกาลอินเดียให้เป็นประเทศ ฉะนั้น ธรรมดาพ่อก็อยากให้ลูกอยู่อย่างนั้น ก็เลยดูแลไง เวลานางสนมนมในนะ เวลาเข้ามา พอมีอายุหน่อยก็เอาออก คือไม่เคยเห็นคนแก่ ชีวิตนี้สมบูรณ์มาก
แต่ด้วยบุญกุศลนะ ไปเที่ยวสวนไปเห็นคนเกิด คนแก่ คนเกิดคืออะไร เห็นทารก เอ๊ะ! ทำไมคนนั้นแก่ ถามมหาดเล็กที่พาไปด้วย คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เราก็ต้องเป็นเช่นนั้นหรือ เราก็ต้องเป็นเช่นนั้นหรือ มันสะเทือนใจไง มันสะเทือนใจเพราะท่านได้สร้างบารมีของท่านมา พอท่านสร้างบารมีของท่านมา
เราบอกว่า ถ้าความเพียบพร้อม ความสมบูรณ์ โลกมันสมบูรณ์แล้ว แล้วธรรมะมีความจำเป็นอย่างไร มีความจำเป็นอย่างไร
ถ้ามันยังต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ยังต้องทนทุกข์ทรมาน เราก็ต้องเป็นเช่นนี้ใช่ไหม ถ้าเราจะเป็นกษัตริย์ เราเป็นจักรพรรดิ เราก็จะต้องตายไป ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ถ้ามันต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย มันต้องมีฝ่ายตรงข้ามด้วย
นักวิทยาศาสตร์ ถ้ามีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย มันก็ต้องมีการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายจนได้ ถ้ามีการค้นคว้า มีการทำจริงไง มันก็เลยคิดแสวงหา สุดท้ายสละราชสมบัติออกไปเลย พอออกไปก็ไปแสวงหาอยู่ ๖ ปี ไปแสวงหาอยู่ ๖ ปี
เราดูนะ เราดูในปัจจุบันนี้ ดูความเชื่อของสังคมสิ ความเชื่อของสังคมนะ สัพเพเหระไปหมดเลย เจ้าชายสิทธัตถะ ในเมื่อท่านสละมา ท่านไปบวชใหม่ เขาอยู่ในสังคมอย่างนั้น เราอยู่ในสังคมของเขาก็ไปศึกษากับเขา ศึกษาขนาดไหนนะ มันก็จนตรอก มันจนตรอก มันไปไม่ได้ มันไปไม่ได้ มันไปไม่ได้ตรงไหน
มันไปไม่ได้นะ เวลาไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ เขาก็บอกว่าเจ้าชายสิทธัตถะเป็นคนที่มีปัญญามาก เป็นผู้ที่ขวนขวายดีมาก เขามีการศึกษา เขาไปศึกษาจนหมดวิชาการของเขา แล้วเขาก็รับประกันด้วยว่าเจ้าชายสิทธัตถะมีความรู้เสมอเรา ความรู้เสมออาจารย์
แต่คนที่มีบุญญาธิการ เรามีความรู้เสมอเขา แต่เรายังมีความทุกข์อยู่ เรายังมีกิเลสอยู่ ก็เลยไม่สนใจ พยายามแสวงหาๆ แสวงหาจนท่านมาตรัสรู้เอง ท่านมาตรัสรู้เองนะ เวลาปฐมยาม บุพเพนิวาสานุสติญาณ จิตมันสงบแล้ว จิตของเราสงบแล้ว เราระลึกถึงเมื่อวานได้ไหม เราระลึกถึงเมื่อวานได้ เราระลึกถึงอย่างดีมากก็ระลึกถึงตอนเป็นเด็กได้ แต่เราไม่สามารถระลึกข้ามภพข้ามชาติได้ แต่เวลาจิตมันสงบไปแล้ว เพราะจิตนี้เวียนว่ายตายเกิด พอเวียนว่ายตายเกิด จิตมันย้อนกลับอดีตชาติของมันได้ บุพเพนิวาสานุสติญาณ มันยังไม่ชำระกิเลส เพราะเรารู้แล้วเราได้ประโยชน์อะไร รู้ถึงเมื่อวานนี้ เราได้อะไร ก็ดึงกลับมา
พอดึงกลับมา พอมันถึงจุตูปปาตญาณ มัชฌิมยาม ไปแล้ว ถ้าจิตมันยังไม่สิ้นสุด ที่ไปสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ถ้าไม่สิ้นสุดมันก็ต้องไปเกิดอีก เพราะมันมีเหตุมีปัจจัย มันมีแรงขับ มันมีเหตุมีผลของมันต้องไปเกิด นั่นจุตูปปาตญาณ
สุดท้ายแล้วท่านดึงกลับมา ดึงกลับมาถึงในหัวใจของท่าน ท่านชำระล้าง อาสวักขยญาณ ชำระล้างกิเลส มันพ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายได้ตามความเป็นจริง เป็นจริงตรงไหน
เป็นจริงนะ เวลาเราเกิดนะ เวลาเกิดมาพ่อแม่ตั้งชื่อให้ พ่อแม่เป็นคนบอกให้ เราไม่รู้หรอกว่าเราเกิดเมื่อไหร่ พ่อแม่เป็นคนบอกให้ นี่ก็เหมือนกัน เวลามันเกิดนะ พอมันเกิดมา การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย แต่เวลามันชำระล้างหมดแล้ว มันไม่ไปอีกแล้ว มันไม่เกิด มันไม่เกิดมันก็ไม่มีแก่ มันไม่แก่มันก็ไม่มีเจ็บ มันไม่เจ็บมันก็ไม่มีตาย ฝั่งตรงข้ามที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคืออริยสัจสัจจะความจริง อันนั้นน่ะธรรมะจะมีประโยชน์กับโลกอะไร ธรรมะจะมีประโยชน์กับโลกมาก เพราะธรรมะจะทำให้เราไม่มีความทุกข์ ไอ้ความทุกข์ความตึงเครียดในหัวใจจะไม่มีในใจของพระอรหันต์เลย ไม่มีเลย ไม่มีเพราะอะไร ไม่มีเพราะว่าท่านได้ชำระล้างภวาสวะ ภพ คือสถานที่
ความคิดมันเกิดที่ไหน ความคิดนี้เกิดที่ไหน ชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้ เราก็ว่าชีวิตนี้ชีวะ ชีวะมันเกิดมาจากไหน ถ้าชีวิตเกิดมา ปฏิสนธิจิตมันเกิดในไข่ ในน้ำครำ ในครรภ์ ในโอปปาติกะ ในกำเนิด ๔ แล้วถ้ามันทำลายภวาสวะ ทำลายภพหมดแล้ว มันไม่มีอะไรเลย แต่มันมีอยู่ มีธรรมธาตุ มีความรู้สึกอันนั้นอยู่ ถ้าสติมันตามทัน มันจะไม่มีความทุกข์เลย
เราพูดถึงว่าธรรมะมีประโยชน์กับโลกอย่างใด
ธรรมะมีประโยชน์กับโลกเพราะว่า กรรมฐาน พระปฏิบัติเขาต้องพูดถึงสัจจะความจริงเลย แต่เวลาไปสังคมนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเผยแผ่ธรรม อนุปุพพิกถา คือให้คนทำทาน เรื่องของทาน เรื่องของทานคือการเสียสละ เราจะบอกว่าธรรมะมันเริ่มอ่อนแล้ว เรื่องระดับของทานคือการเสียสละ คือการให้อภัยต่อกัน ทำประโยชน์ต่อกัน ถ้ามีอย่างนั้นปั๊บ เรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องของสมาธิ เรื่องของปัญญา มันเป็นชั้นๆ เข้ามา แต่ถ้าธรรมะจริงๆ ตัวจริงๆ ของมันคือตัวอริยสัจ ตัวจริงๆ ของมันก็คือตัวปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติ เราจะบอกว่า สัจธรรม
ธรรมะมีประโยชน์กับโลกอย่างไร
แล้วเราเกิดมานะ เราเกิดมาโดยบุญ เวลาใครเกิดมาก็แล้วแต่ เวลาประพฤติปฏิบัติ ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าเรามีบุญกุศลอย่างไร เรามีบาปอกุศลอย่างไร อยากให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้ทาง เพื่อเวลาประพฤติปฏิบัติมันได้ปฏิบัติได้ง่ายขึ้น
ฉะนั้น เวลาชี้ทาง เราเป็นเพื่อนกัน เรามาศึกษา เราเป็นเพื่อนกัน นิสัยใจคอจะไม่เหมือนกันสักคนหนึ่ง ทำไมมันไม่เหมือนกันล่ะ พันธุกรรมของจิต คือว่าการที่เวียนว่ายตายเกิดมันย้ำคิดย้ำทำมาจนเป็นจริตนิสัย เขาเรียกว่าจริตนิสัยมันฝังอยู่ในหัวใจนั้นมา
เวลาคนเรา ลายนิ้วมือ ลายนิ้วมือเวลาพิมพ์นิ้วมือมันจะไม่เหมือนกัน ความรู้สึกนึกคิดของคนจะไม่มีเหมือนกันเลย มันไม่เหมือนกันเพราะจิตมันเวียนว่ายตายเกิดมาในวัฏฏะไง ถ้าเวียนว่ายตายเกิดนะ เราบอกว่า ถ้าเรามีอำนาจวาสนามา เรามาเกิดเป็นบุญมาก เป็นบุญมากเพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์เป็นภพกลาง ถ้าตกนรกอเวจีก็เหมือนติดคุก เวลาถ้าเราอยู่บนสวรรค์ก็เหมือนอยู่ในที่เขาเลี้ยงปาร์ตี้กันน่ะ แต่เดี๋ยวมันก็ต้องเลิกต้องจบ
แต่เราเป็นมนุษย์ มนุษย์ภพกลาง ทำความดีก็ได้ ทำความชั่วก็ได้ ถ้าทำความดีๆ เวลาทำความดี สังคมเขาบอกคนนี้เป็นคนโง่ ทำแต่คุณงามความดี โลกเขาต้องแสวงหากัน
อันนั้นมันเป็นประโยชน์ชั่วคราว ประโยชน์เฉพาะหน้า แต่ถ้ามันเป็นบุญกุศลนะ ประโยชน์เฉพาะหน้าด้วย แล้วประโยชน์อนาคตด้วย เพราะอนาคต เพื่อนเราเป็นคนนิสัยดี เพื่อนเรานิสัยดี เพื่อนเรามีจิตเมตตา เพื่อนเราดูแลเราตลอดเลย เราจะรักเพื่อนเราไหม เพื่อนเราเอาเปรียบเราตลอดเวลาเลย เราจะรักเพื่อนเราไหม
ถ้าเพื่อนเราเป็นคนดีกับเรา มิตรแท้ ถ้าใครบวชเรียน มิตรแท้นะ เวลาเพื่อนเราผิดพลาดสิ่งใด เราจะช่วยคุ้มครองดูแล แล้วมิตรแท้ เพื่อนเราโดนเขานินทา ถ้าเรารู้ข้อมูล เราจะแก้ไข มิตรแท้ มิตรเทียม คนเทียมมิตร นี้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้นเลย
ฉะนั้น เวลาเราเกิดมา เราเกิดมาเป็นมนุษย์นะ เรามีบุญมาก เพราะว่ากำเนิดต้องเกิดแน่นอน ถ้าไม่เกิด จิตมันไม่เกิด ไปเกิดเป็นสัตว์ ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ไปเกิดในนรกอเวจี มันต้องเกิด แต่พอเกิดมาแล้วปฏิเสธไม่ได้ เพราะเราเกิดมาแล้วมันเป็นเรา มันเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์คือว่าวัฏฏะไง ดูสิ มีพระอาทิตย์ มีพระจันทร์ มีโลก มีกามภพ รูปภพ อรูปภพ แต่เรามองไม่เห็น แต่จิตเห็น จิตเห็น
เพราะว่าผู้ที่บวชนะ ผู้ที่มาบวชในพระพุทธศาสนา คนมีปัญญาก็มาก ถ้าศาสนามีข้อบกพร่อง ผู้ที่บวชสามารถจะรู้ได้ ผู้ที่บวช เพราะเราบวชมาเราสละทั้งชีวิต แล้วเราเอาชีวิตมาค้นคว้า ถ้าค้นคว้า สิ่งที่เราคว้า สิ่งที่ไม่มี ค้นคว้าสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เราจะหลอกเราไหม เราจะหลอกตัวเราเองไหม เราไม่หลอกตัวเราเองหรอก ถ้าเราไม่หลอกตัวเราเองปั๊บ เราก็ต้องแสวงหาครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง
อย่างเช่นหลวงตาเวลาท่านแสวงหา ท่านเรียนถึงมหาก็เรียนธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนเข้าใจแล้ว แต่เวลาจะปฏิบัติจริงๆ มันก็ยังงง ก็บอกว่า ถ้ามีครูบาอาจารย์องค์ไหนชี้เราได้ เราจะไปหาองค์นั้น
ท่านก็ไปหาหลวงปู่มั่นไง “มหา มหามาเพื่ออะไร มหาจะมาเพื่อมรรคผลนิพพานใช่ไหม มรรคผลนิพพานมันจะไม่อยู่ที่ใดเลย ไม่อยู่ในวัตถุธาตุสิ่งใดเลย ไม่อยู่ในอวกาศ ไม่อยู่ในอากาศ ไม่อยู่ในทุกสิ่ง มันจะอยู่ที่หัวใจของมนุษย์ มันอยู่ที่ความรู้สึก”
ฉะนั้น พอไปศึกษามามาก พอชี้เข้ามา ท่านถึงขวนขวาย แล้วท่านปฏิบัติของท่านมาก ท่านปฏิบัติเข้มข้นมาก ท่านทำของท่านมาก
เราจะบอกว่า การที่เราเกิดมาเรามีบุญแล้ว บุญในสถานะของความเป็นมนุษย์ แล้วเวลาเกิดมาแล้ว เรามาเป็นนักศึกษา ศึกษาเพื่อวิชาชีพ ถ้ามีอาชีพ อาชีพเพื่อใคร อาชีพเพื่อตัวเองหนึ่งนะ
แต่อาชีพของเรา อาชีพเพื่ออาชีพเราด้วย เพื่อความมั่นคงของชาติด้วย เรา เรามีโอกาสมากกว่าคนอื่นไง ถ้าเรามีโอกาสมากกว่าคนอื่น เราทำคุณงามความดีของเรา แข่งอำนาจวาสนาแข่งกันไม่ได้นะ ใครทำคุณงามความดีมามากขนาดไหน เขาเรียกว่าโอกาส จังหวะและโอกาสจะตกกับคนคนนั้น แต่เราทำมาด้วยกัน แต่โอกาสจังหวะของเรามันไม่ถึงเลย นี้เขาเรียกว่าอำนาจวาสนา แต่ความดีเป็นของเรา เราทำความดีของเรา
ครูบาอาจารย์ของเราถ้าเป็นพระที่ดีนะ ท่านจะประพฤติปฏิบัติของท่าน ปิดทองหลังพระๆ ทำความดีเพื่อความดี ทำความดีเพื่อความสบายใจ ฉันทำความดีแล้ว คิดเมื่อไหร่ฉันก็สบายใจ จะคิดถึงว่าเราไม่เคยทำสิ่งใดเพื่อเห็นแก่ตัว เราไม่เคยทำสิ่งใดเพื่อตัวเราเลย เราทำเพื่อประโยชน์ทั้งนั้นน่ะ แต่ผลก็กับตัวเรา เพราะเราทำเพื่อประโยชน์ใช่ไหม ประโยชน์ก็ของของเรานั่นแหละ เพราะเราก็เป็นหนึ่งในสังคม เป็นมนุษย์
เราจะบอกว่า การเกิดของเรา เกิดเป็นมนุษย์มีค่ามาก ถ้ามีค่ามาก มีค่ามากแล้ว สิ่งที่มีค่ามากเป็นโลก โลกคือสมมุติ คำว่า “สมมุติ” จริงตามสมมุตินะ ชีวิตนี้เราก็รู้ได้ใช่ไหมว่าเราเกิดแล้วเราต้องแก่ชราคร่ำคร่า แล้วเราก็ต้องตายไป คำว่า “สมมุติ” คือมันอนิจจัง มันแปรปรวน มันไม่แน่นอน
แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้าสิ สัจจะ ไม่แปรปรวน แล้วไม่แปรปรวน เราเอาสิ่งใดไปค้นหา เราเอาสิ่งใดไปทำประโยชน์ ถ้าทำประโยชน์ตรงนั้นมันถึงจะเป็นประโยชน์นะ พูดถึงว่า ธรรมะ สัจธรรม สัจธรรมจะมีคุณค่ามาก
โลกกับธรรมๆ วิทยาศาสตร์เป็นโลก วิทยาศาสตร์วิชาชีพ สิ่งใดคนจะมีปัญญามากน้อยขนาดไหน เขาก็ต้องมีปฏิภาณของเขา อันนี้เป็นโลก เป็นโลกเพราะคิดเท่าไรก็แล้วแต่ มันมีการค้นคว้ามีการวิจัยตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุด งานของโลก เราทำหน้าที่ เราเกษียณไปแล้ว คนอื่นก็มาสวมตำแหน่งเรา ต้องดูแลกันต่อไป ไม่จบหรอก
แต่ถ้าการปฏิบัติธรรมจบ จบ จบที่ไหนล่ะ จบที่การรักษาในหัวใจนี้ ถ้ามันจบแล้วนะ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย นั่นคือจบ ถ้าจบแล้วมันจะเป็นประโยชน์ตรงนั้น
เราพูดถึงว่า เราเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วมีค่ามาก มีค่ามากแล้ว ถ้าเราฝักใฝ่อยู่กับทางโลก ทางโลกเราต้องแสวงหานะ เราบอกว่า “หลวงพ่อ เกิดมาทำหน้าที่การงานก็ทุกข์พอแรงแล้วแหละ เราจะเอาเวลาที่ไหนไปปฏิบัติ ไปหาสัจจะความจริง เกิดมาก็ทุกข์พอแรงแล้ว”
การเกิดมา หน้าที่การงาน นั่นน่ะทางโลก แล้วทางโลกแล้ว ถ้าเรามีสติปัญญา มันก็อยู่ด้วยกันนั่นแหละ มันก็เป็นทางธรรม ทำหน้าที่การงานนั่นแหละ แต่เราทำหน้าที่การงานแล้วเรามีสติปัญญาเท่าทันหัวใจของเรา หัวใจเราไม่ทุกข์ไม่ยากจนเกินไปไง
หน้าที่การงานก็ทำเพื่อดำรงชีวิต ดำรงชีวิตนะ ดำรงชีวิตไว้ด้วยสัจจะ ด้วยปัญญามันแยกแยะ มันแยกแยะแล้วมันไม่กดดันตัวเองไง มันไม่กดดัน มันไม่ทุกข์ไม่ยากจนมันทุกข์ยาก คนเราถ้าพ้นกรรมนะ เฮ้อ! พอมันคิดได้ มันเฮ้อ! มันปล่อย พอปล่อยแล้วสบายใจนะ งานก็อันเก่านั่นแหละ แต่มันปล่อยนะ เราทำด้วยไม่มีตัวตนของเรา เราอยู่กับงาน สบาย แต่ถ้ามันทุกข์ยากนะ ทำงานก็อู้ฮู! ทุกข์เต็มที่แล้ว แล้วก็บีบคั้นหัวใจอีก ทำด้วยความบีบคั้น
เขาบอกทำไมต้องปฏิบัติธรรม
ปฏิบัติธรรมก็ให้เห็นสัจธรรมไง เห็นสัจจะว่าชีวิตมันเป็นแบบนี้ แล้วถ้าเราเข้าใจเรื่องธรรม ธรรมะมันจะเลี้ยงหัวใจของเรา
ฉะนั้น พูดถึงว่าเริ่มต้นอารัมภบทเรื่องของธรรมะนะ ทีนี้ถ้าเวลาตอบคำถามนี้มันก็เป็นธรรมะอีกนั่นแหละ
ถาม : ทำไมศาสนาพุทธถึงมีหลายนิกาย
ตอบ : คำว่า “ศาสนาพุทธมีหลายนิกาย” นิกายคือความเชื่อ ความเชื่อนะ เริ่มต้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ ผู้ที่เอหิภิกขุบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธศาสนามีนิกายเดียว แต่พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาเผยแผ่ธรรมไป คนเข้ามาศึกษาเยอะมาก ทีนี้คนเข้ามาศึกษาเยอะมาก ความรู้ความเห็นของคนมันก็แตกต่างกันใช่ไหม
ฉะนั้น เวลาพระจุนทะไปเห็นศาสนาอื่น เวลาศาสดาเขาตายไป แล้วลูกศิษย์เขามีความขัดแย้งกัน ก็มาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกว่า ในศาสนาเชนหรือศาสนาอะไร พอศาสดาเขาตายปั๊บ ลูกศิษย์ของเขาก็มีความคิดแตกต่าง แล้วเขามีการทะเลาะเบาะแว้งกัน เขามาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระจุนทะเป็นน้องชายของพระสารีบุตร ไปถามพระสารีบุตรเลยว่า ทำไมศาสนาอื่น พอศาสดาเขาตายแล้วเขาไม่มีความสามัคคีกันเหมือนเดิม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเพราะขาดวินัย
พอขาดวินัยนะ พระจุนทะก็พยายามจะให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติวินัย
พระพุทธเจ้าบอกพระจุนทะบอกว่า เราบัญญัติไม่ได้หรอก พระพุทธเจ้าไม่พูดสิ่งใดที่ยังไม่เกิด ไม่มี ไม่เป็น พระพุทธเจ้าจะไม่พูด ฉะนั้น ถ้ามันมี มันเป็น พระพุทธเจ้าถึงจะพูด
ฉะนั้น พอพระจุนทะมาพยายามให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติวินัย คือบัญญัติกฎหมายนี่แหละ มันยังไม่มีการกระทำผิดก็ไม่บัญญัติ จนเริ่มมีไง พอพระเยอะขึ้นมันก็เริ่มมีความผิด พระสุทิน พระสุทินนะ บวชมาด้วยเป็นลูกชายคนเดียวมาบวชเป็นพระ ทีนี้พ่อแม่เขาก็อยากจะให้มีสืบสกุลไง เขาก็ไปหาผู้หญิงมาให้พระสุทินสืบสกุล
พระสุทิน ตอนนั้นยังไม่มีกฎหมาย ก็อยากได้มาก พระสุทินก็คิดว่าด้วยเจตนาไง เจตนาไม่เคยคิดเรื่องกาม แต่เจตนาเพื่อพ่อแม่ เจตนาเพื่อชาติตระกูล ก็มีเพศสัมพันธ์ไป มีเพศสัมพันธ์ไปแล้วท้องด้วย พอท้องแล้ว พระสุทินพอทำไปแล้วคิดได้ทีหลัง มันมาคิดไง คิดทบทวนดูแล้วมันก็เสียใจ พอเสียใจก็เริ่มซูบซีด
นี่พระสมัยพุทธกาลนะ เขาซื่อสัตย์ พอซูบซีด พระเพื่อนกันก็ถาม บอกว่า พระสุทินเมื่อก่อนก็เห็นเปล่งปลั่ง ตอนนี้พระสุทินเป็นอะไร
บอก ตรอมใจ
ตรอมใจเรื่องอะไร
ตรอมใจเพราะทำอย่างนี้ๆ
พอทำอย่างนี้ พระก็ไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าประชุมสงฆ์ ประชุมสงฆ์บอกว่า “สุทิน เธอทำอย่างนั้นจริงๆ หรือ”
“จริงๆ ครับ”
“โมฆบุรุษทำอย่างนั้นได้อย่างไร พรหมจรรย์เขาไม่ทำอย่างนั้น”
พระสุทินเป็นตัวอย่าง แต่พระสุทินเป็นตัวอย่าง ไม่เป็นอาบัติ เพราะยังไม่มีกฎหมาย แล้วพระพุทธเจ้าก็บัญญัติปาราชิก ๔ ภิกษุห้ามๆๆ ถ้าทำอย่างนี้เป็นปาราชิกๆ มาเรื่อย มันก็เริ่มมีธรรมวินัยมา พอมีธรรมวินัยมาก็สืบต่อๆ กันมา
เพราะคำถามว่า “ทำไมพระพุทธศาสนาถึงมีหลายนิกาย”
ฉะนั้น พอพระพุทธเจ้าจะปรินิพพานไง พระพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ไว้นะ บอกอานนท์ พระอานนท์เป็นผู้ที่ฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้เยอะมาก พระอุบาลีเป็นผู้ที่จำข้อกฎหมายของพระพุทธเจ้าได้มาก แล้วศาสนามันมีการไม่สามัคคีกัน พอพระพุทธเจ้าจะนิพพาน นิพพานก็พยากรณ์ไว้เลย “อานนท์ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเขาจะมีการสังคายนา เธอจะได้เป็นพระอรหันต์วันนั้น”
แล้วเวลาสังคายนา พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์จะสังคายนา แล้วพอพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระอานนท์ก็คร่ำครวญมาตลอด เสียใจมาก เสียใจมากเพราะว่าคิดว่าเป็นความบกพร่องของตัวเองไง พระพุทธเจ้าทำให้พระอานนท์เห็น ให้เห็น ให้อาราธนาต่อไป เพื่อท่านจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้มากกว่านี้ไง ทำถึง ๑๖ หนน่ะ พระอานนท์ระลึกไม่ได้ เพราะมารมันดลใจ
พอสุดท้ายแล้ว พอมาฆบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปลงอายุสังขาร อีก ๓ เดือนข้างหน้าจะนิพพาน
ทีนี้พอปลงสังขาร โลกธาตุก็หวั่นไหว พระอานนท์พอเห็นโลกธาตุหวั่นไหวก็ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “สิ่งที่ไม่เคยเกิด ไม่เคยมี ได้มีแล้ว มันเป็นเพราะอะไร”
“อานนท์ มันเป็นอย่างนี้เอง หนึ่ง พระพุทธเจ้าเกิด พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร พระพุทธเจ้าปรินิพพาน”
พระอานนท์รู้ว่าพระพุทธเจ้าปลงอายุสังขารแล้ว คร่ำครวญ ก็คิดว่าเป็นความบกพร่องของตัวมาตลอด ฉะนั้น พอพระพุทธเจ้าจะปรินิพพานก็มีความสะเทือนใจไปตลอดไง
พอพระพุทธเจ้านิพพานปั๊บ มีพระผู้เฒ่ามาเป็นลูกศิษย์พระกัสสปะ จะมาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นแหละ “พระพุทธเจ้าตายไปแล้วนั่นแหละดี จะได้ไม่มีคนคอยจ้ำจี้จ้ำไช พระพุทธเจ้าอยู่นี่ลำบากมาก ทำอะไรก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้”
พระกัสสปะสะเทือนใจมาก พระพุทธเจ้าเพิ่งนิพพาน ทำไมพระผู้เฒ่าพูดอย่างนี้แล้ว ก็เลยคิดว่าจะทำสังคายนาไง พอทำสังคายนาเสร็จปั๊บ พอทำสังคายนา พอพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว ถวายพระเพลิงแล้ว ทุกอย่างแล้ว ก็ทำสังคายนา พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์รวมทั้งพระอานนท์ด้วย ก็ทำสังคายนา
พอทำสังคายนาเสร็จปั๊บ ทีนี้พระมันเยอะ พระมันเยอะ มันจะนัดพร้อมกัน มันพร้อมกันไม่ได้ไง พอมันพร้อมกันไม่ได้ มีพระผู้อาวุโสองค์หนึ่ง เราจำชื่อไม่ได้นะ พระอานนท์ พระกัสสปะบอกว่า ขณะนี้เราได้ทำสังคายนากันแล้ว ให้ยึดมั่นอย่างนี้ ให้มันเป็นนิกายเดียวนี่แหละ เป็นอันเดียวกันมา
พระที่เป็นผู้อาวุโสบอกว่า “ถ้าพวกท่านทำอย่างนั้นก็ทำไปเถอะ แต่สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังมาจากพระโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะยึดแนวทางของเราอย่างนี้”
แตกหรือยัง เป็นนิกายหรือยัง ความเห็นมันอย่างนี้มันก็แตกออก มันเป็นมหายาน มหายานคือว่าเผยแผ่ไปทางพื้นดินไง ออกไปทางทิเบต ไปทางจีน ส่วนใหญ่นี่จะเป็นมหายาน แต่ถ้าลงเรือมาลังกา ลงเรือมานะ มาลังกา มาทางเรา จะเป็นเถรวาท ถ้าเป็นเถรวาทเป็นอย่างนี้
อันนี้เราจะบอกว่า มันเป็นความเห็น คนเห็น คนมีความเห็นแล้วมีความชอบ มีความชอบปั๊บ เขาศรัทธา เขาเชื่อของเขาอย่างนั้น แล้วกลุ่มชนมากขึ้น มันก็แบ่งเป็นนิกาย
คำว่า “ทำไมศาสนาพุทธมันถึงมีหลายนิกาย”
หลายนิกายเพราะความเชื่อ เพราะความเชื่อ ความเข้าใจของเขา แต่เวลาประพฤติปฏิบัติหลวงปู่มั่นบอกว่า นิกายมันก็แค่ชื่อ แค่ชื่อ ถ้าเราทำจริงๆ นะ เราพยายามทำให้ถึงสัจธรรม ถ้าถึงสัจธรรม มันเข้าถึงสัจธรรมได้ด้วยกัน ถ้าคนทำได้จริงนะ ถ้าทำได้จริงแล้วมันไม่มีอะไรสิ่งใดขัดแย้งกัน
แต่อย่างนี้มันเป็น ๒,๐๐๐ กว่าปี ๒,๐๐๐ กว่าปีมันต้องมีความเห็นขัดแย้งกันแน่นอน ทีนี้ความเห็นขัดแย้งกันแน่นอน แต่ถ้าเขายังมุ่งดีหวังดีอยู่นั้น อันนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่งนะ
ถ้าบอกว่า “ทำไมศาสนาพุทธถึงมีหลายนิกาย”
เราจะบอกว่าเพราะเรื่องจริตนิสัย เรื่องความเห็นของคน ฉะนั้น ความเห็นของคน กลุ่มชน กลุ่มชนใด เราดูสิ ดูศาสนาทางภาคเหนือกับดูทางภาคใต้ ความเห็น พิธีกรรมยังไม่คล้ายกันเลย มันยังแตกต่างกัน
อันนี้พูดถึงว่า ศาสนาพุทธทำไมถึงหลายนิกาย
เรามอบให้กับว่า มันเป็นความเชื่อของสังคม แล้วสังคมเป็นความเชื่อ แต่ความจริงเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ ความจริงที่เราประพฤติปฏิบัติอยู่นี่เป็นความจริง อันนี้หนึ่ง
ถาม :
๑. สวรรค์ นรก ภพ มีจริงหรือไม่
๒. ใครเป็นคนเขียนพระไตรปิฎก
ตอบ : “สวรรค์ นรก ภพ มีจริงหรือไม่”
ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมานะ สวรรค์ นรก ภพต่างๆ มันมีของมันอยู่อย่างนี้ ของมันมีอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเห็นของที่มีอยู่ ถ้าของที่มีอยู่
“สวรรค์ นรก ภพ มีจริงหรือเปล่า”
ถ้ามันไม่มีจริง ภาษาเรานะ ภาษาเรา เราเป็นปัญญาชน ถ้าภาษาเราเป็นปัญญาชน เป็นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ปั๊บ สวรรค์ในอก นรกในใจ
ถ้าสวรรค์ในอก นรกในใจนะ
สวรรค์ สวรรค์คือความสุข ความดีใจของเรา ความสุข ความสงบระงับมันเป็นสวรรค์ คือความสุข
นรก นรกคือความบีบคั้น นรกคือความเจ็บช้ำน้ำใจ นรก ถ้ามันมีนรก เราจะไปที่ต้นเหตุไง ถ้าต้นเหตุที่นี่ปั๊บ แล้วปลายเหตุที่อยู่ที่ไหนล่ะ
ปลายเหตุ ถ้าเรามีความบีบคั้น อย่างเรา ตอนนี้เราเจ็บไข้ได้ป่วยมากเลย แล้วเรามีปัญหากับหัวใจเรามากเลย เรามีแต่ความเจ็บช้ำ แล้วเราตายเดี๋ยวนี้ เราตายไปกับความทุกข์ แล้วไปไหนล่ะ ถ้านรกในใจ มันจะมีนรกข้างหน้ารออยู่เลย
แต่ถ้าเรามีความสุขมาก อู้ฮู! ทุกอย่างเราสมความปรารถนา เรามีความรื่นเริง ทุกอย่างเราได้แบ่งสันปันส่วนกันหมดแล้ว แล้วเราถึงอายุขัย เราจะต้องดับขันธ์ ต้องตาย เราตายไปด้วยความสุข เราตายไปด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส เราตายไปด้วยความชื่นชมของสังคม สังคมชื่นชมเราเต็มที่เลย แล้วเราต้องตาย ใจเราเป็นสวรรค์ เราไปสวรรค์
เราจะบอกว่า สวรรค์ในอก นรกในใจ มันเป็นคติธรรมที่เขาสอนเราไว้ แต่เรื่องจริง สวรรค์ นรก ภพ มีจริงหรือเปล่า
มีจริงๆ เพราะอะไร เพราะว่าวัตถุเราทำลายได้หมด วัตถุเราไม่ต้องการอะไร เราย่อยสลายได้หมดเลย ความคิดเราย่อยสลายมันได้ไหม ความคิดเราอยากย่อยสลาย แต่มันยิ่งคิดซ้ำคิดซาก ความคิดนี่
แล้วความคิดมันเป็นภพ ความคิด ความรู้สึก ความคิดเกิดจากใจ แล้วใจมันมีอยู่นี่ มันจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ มันต้องมีที่อยู่ของมันสิ มันต้องมี เห็นไหม แล้วพอนรกสวรรค์ เขาไปอยู่นรกสวรรค์ของเขา พอหมดอายุขัยเขาก็เวียนมาที่เรานี่ไง มันถึงว่า กามภพ รูปภพ อรูปภพ จิตมันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าวัฏฏะ
“นรก สวรรค์ ภพ มีจริงหรือไม่”
บอกมีจริง เราว่ามีจริง มีจริง ฉะนั้น มีจริง
“๒. ใครเป็นคนเขียนพระไตรปิฎก”
ถ้ามีจริง เพราะว่าถ้ามีจริง เราอ้างอิงอะไร เราก็อ้างอิงในพระไตรปิฎกไง เวลาอ้างอิงพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกนะ ถ้ามีคนเห็น คนที่เขาพอใจเขาบอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนเทศนาว่าการ แล้วพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์เป็นคนสังคายนา พอสังคายนาก็ท่องจำกันมา ท่องจำกันมา ๒๐๐ ปี สังคายนาครั้งที่ ๒ วิวัฒนาการถึงได้มีการเขียนขึ้นมา มีใบลาน ถึงได้จดจารึกมา
ทีนี้พอจดจารึกมา พระไตรปิฎกใครเป็นคนเขียน
ทรงจำมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ แล้วเราทรงจำกันมา พอทรงจำกันมา ๒๐๐ ปี แล้วมาสังคายนา แล้วก็จดจารึกกันมา
แต่โลก ดูไทยกับพม่าสิ รบกันทีไรก็เผาหมด พอเผาหมดก็จารึกใหม่ มันมีความผิดพลาดได้ไง เวลากรุงศรีอยุธยา เราโดนเผาหมดเลย
การพิมพ์พระไตรปิฎกสำเร็จตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ รัชกาลที่ ๕ รวบรวมจนครบได้ กว่าจะพิมพ์ได้ เพราะมันโดนเผามันโดนทำลายกันมาตลอดไง เวลาเกิดศึกเกิดสงคราม พวกนี้มันจะแตกกระสานซ่านเซ็นไป
เราจะบอกว่า ถ้าแบบว่าจะไม่ให้มันผิดพลาดเลย เพราะมัน ๒,๐๐๐ กว่าปีมา มันมีการจดจารึกมาผิดพลาด แต่ว่าความผิดพลาดนั้นมันผิดพลาดเป็นตัวอักษร แต่ถ้าอย่างเช่นเราจะกินอาหาร ถ้าเราไม่เอาอาหารเข้าปาก เราจะรู้รสของอาหารไหม
ฉะนั้น จิตใจเราประพฤติปฏิบัติ ในเมื่อเราจะหาสัจธรรม ถ้าจิตใจเราทำถูกต้อง เราก็จะได้กินอาหารทางปาก แต่ถ้าบางคนเขาไม่เข้าใจนะ เขาเอาอาหารยัดเข้ารูจมูก ยัดเข้ารูหู มันจะเข้าปากได้ไหม มันจะมากรองว่าพระไตรปิฎกจริงหรือไม่จริงไง
ถ้าพระไตรปิฎกจริง เราปฏิบัติจริง เป็นความจริง มันจะเข้ากัน มันจะอันเดียวกัน แต่ถ้าพระไตรปิฎกเขียนไว้อย่างนี้ เราปฏิบัติไปแล้วนะ อืม! มันขัดแย้งกัน อืม! มันไม่ถูกอย่างนี้ มันอะไรผิดล่ะ นี่มันตรวจสอบกันอย่างนี้ไง ถ้าตรวจสอบอย่างนี้
“ใครเป็นคนเขียนพระไตรปิฎก”
พระไตรปิฎกนี้ทรงจำมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้น เวลาใครอ้างพระไตรปิฎกก็บอกว่านี่เป็นพุทธพจน์ๆ
พุทธพจน์ เราศึกษามานะ แต่ความจริงของเราล่ะ ความจริงของเรา ถ้ามีความจริง เขาเรียกว่าปริยัติคือการศึกษาวิชาการ ปฏิบัติคือจินตนาการ เวลาปฏิบัติถึงที่สุดแล้ว ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ก็อ้างอิงพระไตรปิฎกนั่นแหละ แต่เวลามันเป็นจริงแล้วมันเป็นจริง อันนี้เป็นความเห็นนะ
“ใครเป็นคนเขียนพระไตรปิฎก”
คนเขียนครั้งแรกก็ที่มาสังคายนา พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ พระกัสสปะเป็นหัวหน้า พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์จำมา พอจำมาเสร็จแล้วก็ท่องบ่นกันมา แล้วพอ ๒๐๐ ปีแล้วถึงได้มาจดจารึก พอจดจารึกแล้วมันก็เผยแผ่ไป ดูมหาวิทยาลัยนาลันทา เขาเผา ๗-๘ วัน เผาไม่หมด ตำราน่ะ เผาแล้วเผาอีก เผาไม่มีวันหมด เวลาศาสนาเจริญรุ่งเรืองนะ
ดูสิ อัฟกานิสถานที่เขาระเบิดพระบามิยัน เมื่อก่อนเวลาศาสนาพุทธเจริญนะ มันเป็นไปทั้งชมพูทวีป พระติดเพชรติดพลอยไปหมด เวลามันเจริญนะ สังคมมันเจริญ แต่เวลามันเป็นยุคเป็นคราวไง ฉะนั้น เวลาเป็นยุคเป็นคราว
ฉะนั้น เวลาเราเกิดมา ตอนนี้เวลาเขาจะสืบทอดศาสนานะ เขาจะเอาของพระถังซัมจั๋งที่ว่าเดินธุดงค์ไปแล้วเขาจดจารึกไว้ ส่วนใหญ่จะเอาตรงนั้นเป็นรากฐาน แล้วค้นหาทางประวัติศาสตร์
เวลามันเจริญ เจริญมาก แต่ตอนนี้เราไม่เห็น เราเห็นตอนนี้ไง เราเห็นตอนนี้ เรามาเห็นตอนนี้มันก็แบบว่าคนมันดีขึ้น
ถาม :
๑. ธรรมะคืออะไร
๒. ทำไมพระสงฆ์จึงห่มจีวรสีเหลือง
๓. เพราะอะไรพระสงฆ์จึงต้องโกนหัว
ตอบ : อันนี้มันเป็นเรื่องที่เวลาพระพุทธเจ้าบอกว่าโลกกับธรรม เมื่อก่อนเวลาพระพุทธเจ้าจะบวชพระ ให้เอหิภิกขุ ใหม่ๆ ก็พระพุทธเจ้า มีองค์เดียว แล้วใครจะบวช “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด” ก็บวชมาเลย อันนี้พูดถึงว่าโกนหัว
เอาธรรมก่อน “ธรรมคืออะไร”
ธรรมคือสัจธรรม เวลาเราประกาศนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระธรรมๆ ธรรมะ เราบอกธรรมะเป็นธรรมชาติ เขาว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ นี่สัจจะ มันเป็นวิทยาศาสตร์
แต่ถ้าเป็นธรรมนะ ธรรมเหนือธรรมชาติ มันเหนือธรรมชาติที่ไหนล่ะ มันเหนือธรรมชาติเพราะมันควบคุมอารมณ์ได้ เวลามีสติ เรายับยั้งได้ ธรรมนะ สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม ธรรม ชื่อของธรรมคือสัจธรรม ทีนี้สัจธรรมมันก็แตกแยกย่อยออกไป แยกย่อยว่า เรามีวุฒิภาวะแค่ไหน เราจะรู้ธรรมได้มากน้อยแค่ไหน
ฉะนั้น ธรรมคืออะไร
ธรรมคือศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นคือธรรมโดยพื้นฐาน อริยสัจนี่เป็นธรรม ทีนี้เพียงแต่ว่าถ้าธรรมแท้ล่ะ
ธรรมแท้ก็คือว่า เรามีสติ ตัวสติจริงๆ เกิดกับใจปั๊บ พอเกิดกับใจ ใจเราก็จะมีสติควบคุม เราจะไม่ปล่อยให้จิตใจเราเรรวน จิตใจเราให้กิเลสมันครอบงำได้ นี่มีสติธรรม มีสมาธิธรรม สมาธิธรรมคือจิตมันสงบมากขึ้น ถ้ามีปัญญาธรรม ปัญญาคือภาวนามยปัญญา ปัญญามันถึงจะเกิดขึ้น
เราจะบอกว่า ถ้าธรรมมันคืออะไร ธรรมมันคืออะไร พอธรรมคืออะไรปั๊บ ก็ตั้งสิ่งนั้นเป็นเป้า แล้วก็จะไปกราบไหว้บูชากันไง เห็นไหม คนที่ไม่มีหลักการ ถ้าเป็นมะพร้าวออกตรงกลางต้นก็จะไปกราบแล้ว อันนั้นไม่ใช่ธรรม มันผิดธรรมชาติ มะพร้าวต้องไปอย่างหนึ่ง อันนั้นไม่ใช่ธรรม
ทีนี้เราบอกว่าถ้าธรรมเป็นอย่างไรปั๊บ เราก็จะไปตั้งเลยว่าเป็นอย่างนั้น ทีนี้ธรรมมันมีหยาบมีละเอียด มันจะละเอียดขึ้นไป
“๑. ธรรมะคืออะไร”
ธรรมะคือสัจธรรม สัจธรรมที่ใครไปสัมผัส ใครมีสติก็มีสติธรรม ใครมีสมาธิก็สมาธิธรรม ใครมีปัญญาก็ปัญญาธรรม แล้วถ้าใครวิปัสสนาไป มันเกิดคุณธรรมในหัวใจ เป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี เป็นพระอรหันต์ โอ้โฮ! อันนั้นยิ่งสุดยอดใหญ่เลย แล้วตอนนี้ใครก็อ้างอย่างนี้ แล้วก็พูดอย่างนี้ แล้วมีอยู่จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วมีอยู่จริงไม่มีอยู่จริง อธิบายไม่ได้
แต่ครูบาอาจารย์เราอธิบายได้ คุณสมบัติของโสดาบัน อารมณ์ของโสดาบันเป็นอย่างไร คุณสมบัติของสกิทาคามี ความรู้สึกของพระสกิทาคามีเป็นอย่างไร ความรู้สึก สถานะของพระอนาคามี พระอนาคามีเป็นอย่างไร สถานะของพระอรหันต์ พระอรหันต์มีคุณสมบัติอย่างไรเป็นพระอรหันต์ เออ! ถ้าไม่อย่างนั้นจะมาสอนกันได้อย่างไร
อาจารย์สอนศิษย์ เวลาจะสั่งสอนลูกศิษย์ ลูกศิษย์บอกว่า แล้วโสดาบันเป็นอย่างไรล่ะ อาจารย์ก็แบ๊ะๆ แบ๊ะๆ แล้วมันจะโสดาบันอะไรล่ะ เออ! ถ้าบอกโสดาบัน โสดาบันเป็นอย่างนี้เว้ย สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสมันขาด นี่พูดถึงธรรมคืออะไร
“๒. ทำไมพระสงฆ์ถึงต้องห่มสีเหลือง”
คำว่า “ห่มสีเหลือง” มันก็ย้อนกลับไปในสมัยพุทธกาลอีกแหละ เวลาพระสงฆ์มากขึ้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พระอานนท์เป็นคนออกแบบ ออกแบบผ้าจีวร พระอานนท์ก็เหาะขึ้นไปเลย ไปเห็นคันนาของชาวมคธ ไปเห็นคันนา แล้วก็เอาคันนานี่ตัดเย็บผ้า แล้วสมัยโบราณ ย้อมด้วยผ้าสีฝาด คือเอาเปลือกไม้มาย้อม พอเปลือกไม้ย้อม เห็นไหม
“ทำไมพระสงฆ์ต้องห่มสีเหลือง”
มันเป็นต้นแบบไง พระอานนท์เป็นคนออกแบบ พระพุทธเจ้าให้พระอานนท์เป็นคนออกแบบให้นักบวชกับโลกให้มันแตกต่างกัน นักบวชต้องเป็นแบบนี้ เห็นไหม โกนผม โกนคิ้ว โกนทุกอย่าง ไม่ให้เหมือนโลกเขา
เพราะสมัยโบราณเขาถือนะ เขาจะถือไว้ผมยาว เขาไม่ตัดผม ถ้าตัดผมนะ โทษนะ ถ้าทางสมัยปัจจุบันนี้เขาบอกว่าคนจัญไร คนไม่มีญาติ คือคนเศษเดนน่ะ ฉะนั้น เขาจะเกล้ามวยผมไว้ โบราณน่ะ แล้วถ้าใครตัดปั๊บ คือว่าตัดหางปล่อยวัด ไม่มีใครเอา
ฉะนั้น เราเป็นนักบวช นักบวชเราต้องทำตัวแบบนี้ ทำตัวไม่เหมือนเขา ทำตัวไม่อยู่กับโลก ไม่อยู่กับสังคม เขาถึงต้องห่มผ้าเหลืองไง ไม่ให้เหมือนเขา
“ทำไมพระสงฆ์ต้องห่มผ้าเหลือง”
พระสงฆ์ห่มผ้าเหลืองเพราะว่าเป็นธงชัยของพระอรหันต์ เป็นผ้ากาสาวพัสตร์ ถ้าพูดถึงคนเคารพ เขาเคารพมาก ถ้าคนศึกษาแล้วเขาจะเคารพของเขา แต่เรายังไม่เข้าใจ เราก็แปลกใจว่าทำไมพระต้องห่มผ้าสีเหลือง
พระเรานะ ไปเรียนที่อเมริกา เป็นพระ เขานึกว่าฮิปปี้นะ เขาก็นึกว่า เออ! คนก็มีนุ่งห่มสีนี้เหมือนกัน เพราะเขาเป็นชาวตะวันตก เขาไม่รู้หรอก พระเป็นอย่างไร แต่เวลาพระเราไปเรียนนะ ไปเรียนอังกฤษ ไปเรียน เขาก็ห่มผ้านี่แหละ แต่เวลาเขาไปเรียน เขาต้องดำรงตัวของเขา
อยู่ในวัฒนธรรมใดล่ะ ถ้าวัฒนธรรมนั้นเขาก็รู้ได้ แต่วัฒนธรรมของเรา เราไม่ได้ศึกษา เลยไม่เข้าใจ
“๓. เพราะอะไรพระสงฆ์ถึงต้องโกนหัว”
โกนหัว โกนคิ้ว ก็คือต่างจากความเป็นอยู่ของฆราวาส เพราะให้เห็นชัดไปเลยว่าพระกับโยมไม่เกี่ยวกัน พอบวชพระแล้วนะ เป็นผู้ไม่มีเรือน พระจริงๆ แล้วห้ามเข้าบ้าน ห้ามนอนในบ้าน เขาถึงมีวัด เขามีวัดไว้ให้พระอยู่วัด แต่สมัยนี้โลกมันเจริญไง พอโลกเจริญก็บอกว่าสิทธิมนุษยชน จะอยู่ไหนก็ได้ ก็ฉันเป็นพระ
แต่ถ้าเอ็งบวชพระแล้ว บวชพระ ประกาศตนว่าเป็นพระ พระเป็นผู้ไม่มีเรือนนะ ไม่มีเรือน ไม่มีอาชีพ ไม่มีอาชีพถึงได้ภิกขาจาร เพราะไม่มีอาชีพ พระพุทธเจ้าวางแนวทางไว้ บริษัท ๔ อุบาสก อุบาสิกาอยากได้บุญกุศล เช้าขึ้นมานะ หุงหาอาหารแล้ว สมัยโบราณเขาหุงหาอาหารแล้วก็ตักข้าวปากหม้อใส่บาตรพระไปก่อน แล้วที่เหลือแล้วถึงเป็นอาหารของเรา
พระเรา เราไม่มีอาชีพ ไม่มีอาชีพ เราบิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ออกบิณฑบาตเป็นวัตร ก็ได้อาหารนั้นดำรงชีพ ได้อาหารนั้นดำรงชีพ ดำรงชีพมาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติทำไม
ปฏิบัติเพื่อค้นหาสัจธรรมอันนี้ไง ว่าธรรมะคืออะไร แล้วถ้ามันรู้ธรรมอันนี้จริง โอ้โฮ! สุดยอด สุดยอด สุดยอดเพราะอะไร มันรู้แจ้งหมดนะ รู้แจ้งใจของเรา รู้แจ้งโลกธาตุ โลกนอก โลกใน มันจะรู้แจ้งหมด ถ้ารู้แจ้งแล้วมันจะเป็นประโยชน์มาก ประโยชน์นะ หนึ่ง เราไม่มีความทุกข์ในหัวใจของเรา แล้วเรายังเผื่อแผ่เจือจานคนอื่นได้ด้วย แล้วมันจะรู้แจ้ง รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก่อน อนาคตังสญาณจะรู้อนาคต รู้อะไรต่างๆ แต่ท่านไม่พูด
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าท่านไม่พยากรณ์ ท่านจะพยากรณ์ต่อเมื่อเป็นประโยชน์ คือว่าเป็นประโยชน์กับคนนี้ คนนี้ถ้าเขาทำอย่างนี้แล้วเขาจะบรรลุธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงจะพูดให้เขาฟัง เพื่อให้เขาได้ฉุกคิด ให้เขาได้ค้นคว้า แล้วเขาจะเป็นจริง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่พูดพร่ำเพรื่อ ไม่เป็นประโยชน์ เพราะอะไร เพราะธรรมะมันเหนือทุกอย่าง ไอ้นี่เรื่องโลกมันไม่มีประโยชน์หรอก
นี่พูดถึงว่า ทำไมพระต้องโกนหัว
ต้องโกนหัว เพราะมันเป็นวินัยบังคับ วินัยบอกไว้เลย จะบวชพระต้องโกนผม โกนคิ้ว โกนหนวด แล้วห่มผ้ากาสาวพัสตร์ แล้วเข้าไปหาอุปัชฌาย์ ให้พระอุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่เป็นพระสงฆ์ นี่ไง นิกายเดียวเลย ต้องเป็นอย่างนี้เลย ฉะนั้น พระสงฆ์ต้องเป็นอย่างนั้น
ถาม : กราบเรียนหลวงพ่อ
๑. บาป บุญ นรก สวรรค์ มีจริงหรือไม่
๒. ธรรมะในชีวิตประจำวัน
๓. อานิสงส์ของการปลูกป่ารักษาป่า มีอะไรครับ
ตอบ : บาปบุญคุณโทษมันมีอยู่แล้ว นรกสวรรค์มี ถ้าบาปบุญคุณโทษมี มันอยู่ที่สามัญสำนึกไง เราสำนึกถึงคุณงามความดี เราสำนึกถึงบาป ฉะนั้น คนเรานะ เราทำสิ่งใดเราก็โทษว่าให้กรรมๆ
เราจะบอกว่า มันมีกรรมเก่ากรรมใหม่นะ กรรมเก่า เวลาคนเกิดมา ดูสิ พ่อแม่เดียวกัน เวลาเกิดลูกคนแรก ลูกคนแรกนี่นะ เกิดมาพ่อแม่นี่เห่อมากเลย อะไรๆ ก็ให้หมดเลย พอคนที่ ๒ ก็ชักเบาๆ แล้ว พอคนที่ ๓ ก็อีกเรื่องหนึ่ง เห็นไหม เกิดจากพ่อแม่เดียวกันมันยังไม่เหมือนกันเลย นี่บาปบุญ
ถ้าบุญกุศลของเขา เขาเกิดมาเขาประสบความสำเร็จของเขา เขาเกิดมามีอำนาจวาสนา คาบช้อนเงินช้อนทองมา ไอ้พวกเราเกิดมาปากกัดตีนถีบทั้งนั้นน่ะ ดูเด็กกตัญญูสิ มันไปเรียนหนังสือแล้วมันต้องวิ่งกลับบ้านไปป้อนพ่อป้อนแม่มันนะ คนเหมือนกัน ทำไมเกิดมาไม่เหมือนกัน มันต้องมีที่มาที่ไป
ศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์นะ ศาสนาพุทธมีที่มาที่ไปนะ ไม่ใช่ว่าทำไมมันเกิดมาอย่างนั้นน่ะ คนเหมือนกัน ทำไมเกิดมาไม่เหมือนกัน มันไม่เหมือนกันเพราะบุญกุศลของคนมันไม่เหมือนกัน
แล้วคนเกิดมามีบุญกุศลมากเลยนะ เกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทองมาเลย พอไปๆ เขารักษาสมบัติของพ่อเขาไม่ได้ กลับไปเป็นยาจกเยอะแยะเลย ไอ้บางคนเกิดมานะ ทุกข์จนเข็ญใจเลย มันมีอำนาจวาสนา มันอาบเหงื่อต่างน้ำจนเป็นเศรษฐีโลกขึ้นมา มันเพราะอะไรล่ะ เพราะความหมั่นเพียรของเขา
ฉะนั้นว่า บาปบุญมีไหม...มี นรกสวรรค์ก็มี
มันมีจริงไหม...จริงแน่นอน
ทีนี้บาปบุญ ถ้าเราเกิดทิฏฐิ มันมีคนคนหนึ่งเมื่อก่อนเคยมาหาเรา เขาคงจะมีฐานะมาก เขาบอกว่าเขาไม่เคยมีความทุกข์ เขายืนยันเลย เขาบอกไม่มีความทุกข์หรอก เขาไม่มีความทุกข์เพราะบ้านเขารวยมาก แล้วเขามากับแฟน มากันสองคนนะ วัยรุ่นทั้งคู่เลย กำลังรักกันมาก สงสัยโลกนี้กำลังสีชมพู สวยมาก เขาบอกว่าเขาไม่รู้จักทุกข์ ทุกข์ไม่มีๆ
เราบอกว่า เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เอ็งนั่งกันอยู่นี่เอ็งก็ทุกข์แล้ว เอ็งปวดเมื่อยน่ะ เอ็งนั่งอยู่นานๆ นี่ก็ทุกข์ ไม่ทุกข์หรือ ปวดท้องขี้ท้องเยี่ยว ไม่ขี้ไม่เยี่ยวก็ทุกข์ตายห่าแล้ว แต่นี่มันความรักกำลังสีชมพูไง โอ้โฮ!
เพราะว่าที่เขามาหา เขาจะมายืนยันกับเรา เพราะเพื่อนเขาคุยกันไง บอกพระพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง เขาบอกว่าเขาไม่มีทุกข์ ทุกข์เขาไม่มี เพราะเขากำลังมีความสุข
มันเป็นไปไม่ได้หรอก ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้ เราทนอะไรได้บ้าง ชีวิตนี้เราทนอะไรได้บ้าง ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้ มันจำเจ มันจำเจซ้ำซากนั่นน่ะมันทุกข์ ทีนี้มันทุกข์ อริยสัจ ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ เขาทำมันที่นั่น แล้วบอกว่าไม่มีๆ
ไม่มี เอ็งมันดื้อแพ่งเฉยๆ ดื้อเฉยๆ นะ
ทุกข์มี บาปบุญคุณโทษ นรกสวรรค์มันมีของมันจริง ธรรมะในชีวิตประจำวันนะ ธรรมะในชีวิตประจำวัน ชีวิตของเรา เห็นไหม ระลึกถึงเลย คนแรกเลยนะ เครื่องหมายของคนดี กตัญญูกตเวที หนึ่ง ระลึกถึงพ่อถึงแม่ ระลึกถึงผู้มีบุญคุณไง
ชีวิตประจำวัน ธรรมะในชีวิตประจำวัน ระลึกถึงเรา แล้วทำคุณงามความดี ทีนี้คุณงามความดีมันอยู่ที่เราประหยัดมัธยัสถ์นะ ถ้าประหยัดมัธยัสถ์ เราก็ไม่ต้องเหนื่อยนักจนเกินไป แต่ถ้าเราไม่ประหยัดมัธยัสถ์ มันหาเช้ากินค่ำ มันตกทุกข์ได้ยาก ฉะนั้น ชีวิตประจำวัน มันมีคุณธรรมในหัวใจ มันเป็นไปได้ คือหนึ่ง ไม่รักษาหน้า ไม่ต้องไปห่วงใคร มันอยู่ของมันได้
“อานิสงส์ของการปลูกป่ารักษาป่า มีอะไรบ้าง”
อานิสงส์ของการปลูกป่า เราให้ชีวิตอยู่แล้ว เราให้ชีวิต ออกซิเจน เราปลูกป่าอยู่นี่ พวกป่าไม้มันมามองนะ มันมาดูเลย เราบอกว่าเราปลูกป่า เรารักป่า
เขาบอกว่า ไม่ใช่หรอก หลวงพ่อรักโลก เราปลูกป่า ปลูกเพื่อโลก
ขนาดเมืองหนาวนะ เขาเป็นทุกข์เป็นร้อนนะ จากซีกโลกนี้ เพราะซีกโลกนี้ทำลายป่าเยอะมาก การทำลายป่าไป เกิดภาวะโลกร้อน เกิดพายุ เกิดต่างๆ เดี๋ยวนี้เวลาฝนตก ตกหนักมาก เวลามีปัญหาขึ้นมา มีปัญหามาก เราปลูกป่าได้ประโยชน์กับโลกเลย
นรกสวรรค์มีไหม แล้วนี่โลกธาตุ โลกใบเดียว แล้วอย่างอื่นล่ะ
เพราะนักวิชาการทางซีกโลกตะวันตกนะ เขาเป็นห่วงมาก เขาเป็นห่วงมากว่าการทำลายป่าไม้ทางซีกโลกตะวันออก ทำลายเยอะมาก เขาคิดเป็นวันเลย คิดเป็นวัน คิดเป็นวินาทีเลยว่าป่าไม้โดนทำลายไปเท่าไร โลกเหลือความชุ่มชื้นเท่าไร ออกซิเจนเหลือเท่าไร คาร์บอน ต้นไม้มันดูดไว้ มันเป็นประโยชน์ขนาดไหน
เพียงแต่ว่า ถ้าปลูกป่าอย่างนี้ ชาวสวนชาวไร่มันก็ได้บุญน่ะสิ ก็มันทำนาเนาะ ต้นข้าวเยอะแยะเลย
อันนั้นอาชีพเขา นั่นอาชีพเขา แต่ของเราทำ เราทำด้วยเป้าหมายต่างกัน ดูในหลวงนะ ในหลวงเป็นกษัตริย์ ชีวิตของท่านสมบูรณ์ทั้งนั้นน่ะ ทำไมท่านพาประชาชนปลูกป่าล่ะ ทำไมท่านพาประชาชนทำ เพราะท่านห่วงลูกหลานไง ท่านห่วงลูกหลาน ท่านห่วงคนไทยมันจะมีอากาศให้หายใจหรือเปล่า
ฉะนั้น อานิสงส์ของมัน เราปลูกป่าอยู่นี่ เห็นไหม ที่เขาบอกว่าเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว อันนี้ปลูกต้นไม้ต้นหนึ่ง คาร์บอนมันดูดเท่าไร ออกซิเจนมันให้เท่าไร มันให้ประโยชน์คนเท่าไร แล้วใครเป็นคนทำ เราเป็นคนทำกับมือ
นี่ไปปลูกป่า ไปปลูกไว้ แล้วก็ไม่ได้รดน้ำ ให้พระรด ปลูกป่าเสร็จแล้วก็กลับ อ้าว! พระเราต้องรดอยู่นู่นน่ะ เพราะพระเราจะเอา
นี่ไง แล้วว่าอานิสงส์มันได้อย่างไร
ถ้ามันไม่เห็น พระไม่พาทำหรอก พระทำเพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าเวลาเราไปอยู่ในห้องแอร์กันน่ะ ออกมามันร้อน ไปอยู่โคนไม้สิ อยู่โคนไม้ ลมพัดมามันเป็นธรรมชาติ มันจะมีความสุขขนาดไหน มันจะมีความดีขนาดไหน อันนี้เป็นความดีอันหนึ่งนะ นี่ปลูกป่าได้อะไรบ้าง
ถาม : ๑. วิธีการใช้ธรรมดับความทุกข์อย่างไรถึงจะได้ผลที่สุด
๒. วิธีการนำธรรมมาแก้ไขปัญหาสังคมในปัจจุบัน
๓. ในขณะทำงานอยู่ เกิดอาการเลื่อนลอย ไม่ค่อยมีสติ และไม่มีเวลานั่งสมาธิ แก้ไขอย่างไร
ตอบ : อันนี้เอาอันแรกก่อนเนาะ “วิธีการใช้ธรรมะดับความทุกข์อย่างไรจะได้ผลที่สุด”
เวลาทุกข์นะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาสอนวิธีการทำความสงบของใจ ๔๐ วิธีการ เวลาทุกข์ ทุกข์เพราะเราทิ้งรากฐานของตัวเอง เวลาเราทิ้งรากฐานของตัวเอง เราทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะจิตมันพาดพิงถึงอะไรล่ะ
พาดพิงถึงหนี้ พาดพิงถึงชื่อเสียง พาดพิงถึงศักดิ์ศรี พาดพิง มันไปพาดพิง สมมุติทั้งนั้น แต่หัวใจมันเป็นความจริง พอมันไปพาดพิง พอมันพาดพิง ไปพาดพิงเรื่องอะไร แล้วมันไปฟู ทำให้ใจฟูมากเลย มันทุกข์มากเลย แล้วจะแก้ เห็นไหม
“เราจะใช้วิธีดับความทุกข์อย่างไรถึงดีที่สุด”
ให้ตั้งสติ ทำความสงบของใจ ๔๐ วิธีการ แล้วถ้ามันทุกข์มากนะ คนมีสตินะ ระลึกถึงความตาย ระลึกถึงความตาย สมมุติเราเป็นอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราตายแล้วจบ ที่เหลือมันเป็นภาระ เป็นภาระคนที่รับผิดชอบต่อไป ถ้าระลึกถึงความตายนะ เพราะถ้าเราตายๆ แต่นี่มันไม่ตายน่ะสิ มันจะอยู่ค้ำฟ้า มันจะแบกทุกข์ไว้เยอะๆ เอาทุกข์มาถมหัวใจของมันไง
วิธีดับทุกข์ ระลึกถึงความตาย เราก็ต้องตาย อะไรมันจะเหนือความตาย อะไรมันเหนือความตาย สิ่งที่มันเหนือ อะไรบ้างที่มันจะมามีอำนาจขนาดนั้น ถ้าระลึกถึงความตายนะ
“วิธีที่ใช้ธรรมดับความทุกข์อย่างไรได้ผลที่สุด”
พระเราถึงไปเที่ยวป่าช้ากันไง ไอ้ที่ไปเที่ยวป่าช้า ไปดูศพข้างนอก แล้วไอ้ศพที่เดินได้ มันเดินมาดูเอ็ง ศพนี่เดินมาดูเอ็ง แต่ศพนี้ยังมีหัวใจอยู่ มันยังคิดเป็นไง เอาศพเดินมาดูศพ ดูศพที่นอนอยู่นี่ ไอ้ศพนี้เดี๋ยวก็จะนอนอยู่ตรงนี้
ถ้าเอามาดูนะ ถ้าเอาศพมาดูนะ ระลึกถึงความตายนะ รักสาว ยังหยุดเลย รักสาว ติดอะไรที่มันจะต้องไปนะ บอกถ้าตาย เพราะตายก็ไปไม่ได้อยู่แล้ว ดับหมด ถ้ามันดับมันก็จบไง
“วิธีการที่จะดับทุกข์ได้อย่างดีที่สุด”
ระลึกถึงความตาย ระลึกถึงตรงข้ามเลย
“๒. วิธีการนำธรรมะมาใช้แก้ปัญหาในสังคมปัจจุบัน”
ในสังคมปัจจุบัน มันต้องมีแนวคิดก่อน สังคมนี่นะ มันหลากหลาย ถ้าสังคมมันหลากหลาย เหมือนเด็กความคิดมันหลากหลาย พอความคิดหลากหลาย เราจะใช้อุบายวิธีการเดียวไม่ได้ อุบายของเรา เราใช้ได้กับเด็กที่มันมีวุฒิภาวะที่ดี เราคุยกับเขาด้วยความเข้าใจได้ง่าย เด็กที่มันคุยไม่เข้าใจ มันต้องมีอุบายอีกชั้นหนึ่ง
นี่ก็เหมือนกัน สังคม สังคมยิ่งหลากหลายไปใหญ่เลย ทีนี้สังคมหลากหลายไป ดูสิ ฝ่ายปกครองเขาต้องให้ผลประโยชน์ ถ้ามีผลประโยชน์แล้วเขาถึงจะชักนำคอนโทรลสังคมได้ ถ้าเขาไม่มีผลประโยชน์ เขาจะคอนโทรลสังคมอย่างไร
แต่เวลามาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระ พระวางตัวทำตัวให้เขาเชื่อถือ พอเขาเชื่อถือ ถ้าเขาเชื่อในครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์จะน้อมนำอย่างไร นี่มันดึงสังคมได้ พระพูดกับสังคม สังคมจะฟังดีกว่าสังคมกับสังคมพูดกันเอง
ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเราจะเอาธรรมะ เอาวิธีการอย่างไรแก้ปัญหาสังคมในปัจจุบัน
เราก็เป็นห่วงสังคมปัจจุบัน แต่เราห่วงตัวเราก่อน ตัวเรานี่ทำเป็นตัวอย่าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาตัวท่านเป็นตัวอย่าง พระเรา ครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าท่านทำเป็นตัวอย่างได้ ถ้าเราเคารพเราศรัทธานะ เราเชื่อ เชื่อมั่น เพราะเราลงใจครูบาอาจารย์ปั๊บ เราเอาท่านเป็นตัวอย่าง แล้วเราทำตามนะ หรือว่าเราคอยฟังท่าน ท่านคอยชี้นำ นี่มันเป็นประโยชน์
นี่สังคมปัจจุบัน แต่บอกว่าจะให้สังคมปัจจุบันให้เหมือนดังเราพอใจ...ยาก เพราะอะไร เพราะเขาบอกว่ามันมีความเห็นต่าง ความคิดต่าง มันมีอยู่ตลอดเวลา ความเห็นต่าง ความคิดต่าง แต่เราทำของเรา ทำคุณงามความดี เวลาจะพิสูจน์กัน ความคิดเอ็งกับความคิดข้า แล้วต่างคนต่างทำ แล้วดูซิว่าใครจะถูก เวลามันพิสูจน์ทั้งนั้นน่ะ นี่พูดถึงแก้ปัญหาสังคมปัจจุบันนะ
“ในขณะที่ทำงานอยู่ เกิดอาการเลื่อนลอย ไม่ค่อยมีสติ และไม่มีเวลานั่งสมาธิ ใช้วิธีการอย่างใดแก้ไขคะ”
เวลาเลื่อนลอย เห็นไหม เลื่อนลอย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระอานนท์ “อานนท์ เธอระลึกถึงความตายวันละกี่หน”
“๒ หน ๓ หน”
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เธอต้องระลึกมากกว่านั้น ระลึกถึงความตายตลอดเวลา”
แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน บอกภิกษุไว้เลย “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด” เพราะเราประมาทเลินเล่อกันไง พอประมาทเลินเล่อมันก็เลื่อนลอย
มันอยู่ที่การฝึกฝน การฝึกฝนไม่ต้องนั่งสมาธิหรอก อยู่ที่เราก็ฝึกของเรา แล้วอีกอย่างหนึ่ง เราจะย้อนกลับว่ามันเป็นของเดิม เวลาคนง่วงนอน คนชอบนอน คนนอนนะ ครูบาอาจารย์บอกอดีตชาติเคยเป็นงู งูนอนทั้งวันเลย ถ้าเป็นอะไรมา นิสัยเดิมมันจะมา แต่บางคนจะตื่นตัวมาก
สันตกาย สันตกายนะ เขาจะสงบเสงี่ยมมาก เขาอยู่ในท่านิ่งมาก พระบอกว่าพระองค์นี้เป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ เรียกมาเลย พอเรียกมาบอกว่า อดีตชาติเขาเคยเกิดเป็นสิงโต เป็นสิงโต ๕๐๐ ชาติ มันมีสติมากไง พอมีสติมาก เขาก็ดูสงบเสงี่ยม ดูนิ่งมาก พระพุทธเจ้าเลยเทศนาว่าการเรื่องกาย สันตกาย เรื่องการพิจารณากาย พิจารณา เพราะจิตเขาสงบอยู่แล้ว พิจารณากาย เขาเป็นพระอรหันต์เลย
แต่เวลาเราไปมอง มองถึงความสงบเสงี่ยมอันนั้นไง นี่มันมาจากว่าเขาเคยเป็นอย่างนั้นมา ถ้าเขาเคยเป็นอย่างนั้นมา จิตมันเคยเป็นอย่างนั้น
นี่ก็เหมือนกัน บอกเลื่อนลอยๆ เลื่อนลอยมันต้องมีที่มาที่ไปอย่างไร ถ้าที่มาที่ไป เราศึกษาธรรมะในปัจจุบันนี้ นั่นของเก่า นี่ของใหม่ ของใหม่คือตอนนี้จะทำให้เรามีสติ มีสติ งานการก็ไม่ผิดพลาด ไม่มีความพลั้งเผลอ แล้วไม่เป็นเหยื่อใครด้วย ไม่ให้ใครมาหลอกด้วย ไอ้ที่เป็นเหยื่อๆ อยู่นี่ก็เพราะโลภอยากได้ของเขา
เราอยู่กับตัวเรา เราอยู่กับตัวเรา ฝึกหัดตัวเรา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราทำตนเพื่อเป็นประโยชน์กับเรา นี่ว่า แก้ปัญหาปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันแก้ได้ก็เป็นแบบนี้
นี่พูดธรรมะ วันนี้พูดธรรมะ ให้มาฟังธรรมะ พอธรรมะเสร็จแล้ว เดี๋ยวก็จะมีกิจกรรมอย่างไร นั่นอีกเรื่องหนึ่งนะ เราพูดธรรมะเท่านี้เนาะ เอวัง